จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562

พ่อโพสต์เตือน ปล่อยลูกดูทีวี-มือถือ นานเกิน สุดท้ายป่วยหนัก ตาอักเสบรุนแรง



ตาอักเสบรุนแรง

พ่อโพสต์เตือน ปล่อยลูกดูทีวี-มือถือ นานเกิน สุดท้ายป่วยหนัก ตาอักเสบรุนแรง

วันที่ 27 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ ลงกลุ่ม HerKid รวมพลคนเห่อลูก โดยเป็นภาพของลูกชาย ที่ป่วยด้วยอาการตาอักเสบ ต้องปิดผ้าก๊อซที่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง โดยคุณหมอให้นอนค้างที่โรงพยาบาล เพื่อสังเกตุอาการ
โดยผู้โพสต์ระบุด้วยว่า ฝากเตือนแม่ๆที่ปล่อยลูกดู ทีวี มือถือ เป็นเวลานานๆด้วย ปกติจะไม่ค่อยให้ลูกดูแต่วันนั้น พ่อก็ไม่สบายแม่ต้องเอาน้อง ปล่อยให้ดูทั้งวัน ผลที่ได้ตาอักเสบรุนแรง อันตรายมากๆ จนหมอต้องสั่งนอนดูอาการ
ทั้งนี้เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกเผยออกไป ต่างมีคนแชร์ต่อออกไปจำนวนมาก และมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นถึงความอันตรายของแสงจากโทรศัพท์และทีวีมากมาย


ขอยคุณบทความดีจาก https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_2256854 

“ปาฏิหาริย์ชายผ้าถุงแม่” ของขลังมหามงคล เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ต้องปลุกเสกใดๆ



ย้อนกลับไปในสมัยก่อนเวลาที่จะออกไปรบ ชายสมัยโบราณมักจะมีความเชื่อที่ว่า หากขอเศษผ้าถุงแม่ หรือขอชานหมากจากพ่อ สองสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยคุ้มครองภัยและเป็นเครื่องรางชั้นดี เพราะถือว่าเป็นตัวแทนของความรักอันบริสุทธิ์ที่พ่อแม่มอบให้ เพื่อให้ลูกนั้นสามารถนึกถึงคุณงามความดี ความกตัญญู
สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่ต้องไปปลุกเสกในๆ รู้สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างทานปฏิหารได้มาเสมอ หนังเรื่องของพระครูศิริพงษ คุรุพันธกิจ ได้เล่าไว้เมื่อปี 2553 ว่า
เราพร่ำสอนลูกทุกคนเสมอให้กระทำกตเวทิตาแก่พระในบ้านให้มากๆ เราเตือนลูกทุกคนให้หยุดแสวงหาพระดีอาจารย์ขลังนอกบ้านเพราะพระที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด สูงที่สุดมีพรอันเป็นมงคลที่ประสาทครั้งใด ก็นำความสำเร็จสมปรารถนาอย่างมั่นคงให้ลูกทุกคนโดยมิได้หวังลาภสักการะ สินจ้าง รางวัล จากผู้บูชาคือลูกเลย ใจของพ่อใจของแม่มีแต่ตั้งความหวังให้ลูกมีความสุขความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
ซึ่งท่านก็ได้เอาตัวอย่างของผู้ที่บูชาพ่อแม่แล้วประสบความเจริญรุ่งเรือง แม้จะมาจากต่างแดนห่างไกลแต่ก็มีคนคอยต้อนรับอย่างอบอุ่นอยู่เสมอ พบสังคมที่ดี และได้รับความช่วยเหลือเสมอ
โดยเเป็นเรื่องราวของหนุ่มคนหนึ่งที่เรียนจบชั้นปริญญาตรีเอกบรรณรักษ์ เป็นเด็กที่มีอัธยาศัยดีเป็นที่รักของผู้ร่วมงาน ทั้งครอบครั้วนั้นก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานจนสามารถเลื่อนขั้นเป็นหน้าห้องของปลัดกระทรวง
อีกทั้งยังมีนิสัยขยัน วันหยุดก็จะไปเปิดท้ายรถขายของ ทำงานไม่เคยหยุดหารายได้ตลอด และด้วยความชอบค้าขายและบวกกับมีคนมาติดต่อให้ไปเป็นผู้จัดการร้านอาหารไทยที่ต่างประเทศ หนุ่มรายนี้ตัดสินใจลาออกจากราชการทันที
ซึ่งก่อนออกเดินทางเขาได้เข้าไปหาแม่ ให้แม่ช่วยอวยพร ให้ประสบพบแต่ความสำเร็จ และขอเอาชายผ้าถุงแม่ไปเป็นวัตถุมงคลที่ระลึก จากนั้นเขาก็สามารถทำหน้าที่ เป็นผู้จัดการร้านอาหารได้ปีเศษ และมีคนเสนอขายกิจการให้กับเขา เขาเลยตกลงซื้อและวางแผนจัดการร้านของตัวเองทุกอย่าง และอบรมกิริยามารยาทพนักงานต้อนรับในร้านด้วยตนเอง
เขาประสบความสำเร็จเพียงเวลา 3 ปี เท่านั้น อีกทั้งยังส่งเงินมาให้แม่อีกด้วย และปลูกบ้านให้แม่หลังงามที่เมืองไทยพร้อมยังสร้างบ้านที่อเมริกาอีกด้วย
ปัจจุบันภรรยาที่เมืองไทยเสียชีวิตด้วยโรคร้ายเขามีภรรยาใหม่ที่ต่างแดน อาชีพภรรยาก็มั่นคง เขาได้รับสิทธิ์เป็นคนอเมริกันอย่างง่ายดาย ไม่ต้องจ้างใครรับรอง ไม่ต้องอยู่อย่างหลบเลี่ยง จะคิดทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ แม่ที่อยู่เมืองไทยก็มีความสุขจากการส่งเสียดูแลเป็นอย่างดีจากเขา
และชายคนนี้ทุกครั้งที่ทำอะไรเขาต้องการกุศลอันใดก็จะนึกพ่อแม่ก่อนเสมอ และดูแลท่าน ให้เงินท่านทุกเดือนไม่ขาด แม่ผู้รับเงินแทนคุณจากลูกทำบุญตักบาตรสร้างกองการกุศลให้ลูกในทุกๆ วัน อธิษฐานให้ลูกนั้นเจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จเป็นที่เมตตารักใคร่ของคนทั่วไปปราศจากอุปสรรคภยันตรายใดๆ ทั้งปวง
ฟังเรื่องราวจากปากหนุ่มนายนี้ต่างโจษจันยกย่องสรรเสริญหนุ่มผู้กตัญญูบูชาพระที่ถูกองค์คนนี้กันทั่วกรมศิลปากร อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่า “ตั้งดีพลีถูกองค์” จึงประสบความสำเร็จ
ที่เรายกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า เทพเจ้าแห่งความสำเร็จของทุกคนอยู่ในบ้านเป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวธรรมดานี่เอง อยู่ในบ้านของเราไม่ใช่เทวดาที่ไหน ฉะนั้นลูกทั้งหลายที่ยังมีพ่อแม่ก็ควรดูแลตอบแทนท่านให้ดีให้ท่านสุขกายสบายใจด้วยการกระทำของตนแล้วสิ่งที่นึกไม่ถึงว่าจะสำเร็จอย่างง่ายดายจะบังเกิดขึ้นกับตนเอง

ขอขอบคุณ[บทความดีๆจาก https://www.reportdays.com

ชายวัย 52 ปี เอาชนะ “มะเร็งระยะที่4” จนสื่อและผู้คนสงสัยกันมาก ? ในที่สุดเขาจึงต้องออกมาเผยว่า


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อปี 2013 ชายนักธุรกิจ หลี ไค ฟู่ วัย 52 ปี ประธานกรรมการโรงงานแห่งหนึ่งได้ประกาศกลับเข้าสู่ตำแหน่งอีกครั้ง หลังประกาศลาพักยาวเพื่อรักษาตัว เนื่องจากป่วยเป็น “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ระยะที่ 4” ทั้งที่ไม่อยากหยุดจากงานที่ทำเพราะนั้นเป็นงานที่เขารักมาก
และเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2015 หลี ไค ฟู่ หมอได้ออกมาประกาศว่า หลังการตรวจเช็คร่างกาย 2 ครั้งที่ผ่านมาล่าสุด “ไม่พบเนื้องอกในร่างกาย” ผมได้ฟื้นฟูสุขภาพเต็มที่ ผมกลับมาแข็งแรงและเนื้องอกก็หายไป

นายหลี ไค ฟู่ได้ออกมาเล่าว่า ในระหว่างที่ป่วยเป็นมะเร็งจนหายเป็นปกตินั้น มีัเพื่อนๆที่ทำงานและเพื่อนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งมากมายมาถามว่า “ทำอย่างไรถึงหายจากโรคมะเร็ง? ต้องระวังเรื่องการกินอาหารชนิดใดบ้าง? และคำถามอื่นๆอีกมากมาย”
จนเขาเองออกมาตอบกลับผ่าน เว็บไซต์ Weibo โดยตั้งหัวข้อว่า “เมื่อเป็นมะเร็งจะต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง อย่างไร? ประสบการณ์ต้านมะเร็งขอผม”
ผมก็เหมือนผู้ป่วยโดยทั่วไป หลังจากที่รู้ว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็ต้องรีบทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและวิธีการรักษา ร่างกายต้องปรับตัวยังไงบ้าง? ทำอย่างไรจะทำให้ร่างกายแข็งแรงมากที่สุด……… ผมได้ดูหนังสือแนวนี้มากมาย และได้ปรึกษาหมอเฉพาะด้านมากมาย
1: สิ่งแรกที่ผมให้ความสำคัญมากคือ การนอน เพราะการนอนพักผ่อนนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเพิ่มภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยหลายคนพยายามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยการสูญเสียของร่างกาย แต่ผมให้คำมั่นสัญญากับตนเองว่า จะเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ โดยจะนอนให้เต็มที่ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังบอกว่า “การนอนหลับที่เพียงพอมีผลต่อการป้องกันหรือจำกัดการเติบโตของเนื้องอก” เวลานอนที่ดีที่สุดคือ 22.00 น. ระยะเวลาของการนอนที่เหมาะคือ 7-8 ชั่วโมง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อปี 2013 ชายนักธุรกิจ หลี ไค ฟู่ วัย 52 ปี ประธานกรรมการโรงงานแห่งหนึ่งได้ประกาศกลับเข้าสู่ตำแหน่งอีกครั้ง หลังประกาศลาพักยาวเพื่อรักษาตัว เนื่องจากป่วยเป็น “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ระยะที่ 4” ทั้งที่ไม่อยากหยุดจากงานที่ทำเพราะนั้นเป็นงานที่เขารักมาก
และเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2015 หลี ไค ฟู่ หมอได้ออกมาประกาศว่า หลังการตรวจเช็คร่างกาย 2 ครั้งที่ผ่านมาล่าสุด “ไม่พบเนื้องอกในร่างกาย” ผมได้ฟื้นฟูสุขภาพเต็มที่ ผมกลับมาแข็งแรงและเนื้องอกก็หายไป
นายหลี ไค ฟู่ได้ออกมาเล่าว่า ในระหว่างที่ป่วยเป็นมะเร็งจนหายเป็นปกตินั้น มีัเพื่อนๆที่ทำงานและเพื่อนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งมากมายมาถามว่า “ทำอย่างไรถึงหายจากโรคมะเร็ง? ต้องระวังเรื่องการกินอาหารชนิดใดบ้าง? และคำถามอื่นๆอีกมากมาย”
จนเขาเองออกมาตอบกลับผ่าน เว็บไซต์ Weibo โดยตั้งหัวข้อว่า “เมื่อเป็นมะเร็งจะต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง อย่างไร? ประสบการณ์ต้านมะเร็งขอผม”
ผมก็เหมือนผู้ป่วยโดยทั่วไป หลังจากที่รู้ว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็ต้องรีบทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและวิธีการรักษา ร่างกายต้องปรับตัวยังไงบ้าง? ทำอย่างไรจะทำให้ร่างกายแข็งแรงมากที่สุด……… ผมได้ดูหนังสือแนวนี้มากมาย และได้ปรึกษาหมอเฉพาะด้านมากมาย
1: สิ่งแรกที่ผมให้ความสำคัญมากคือ การนอน เพราะการนอนพักผ่อนนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเพิ่มภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยหลายคนพยายามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยการสูญเสียของร่างกาย แต่ผมให้คำมั่นสัญญากับตนเองว่า จะเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ โดยจะนอนให้เต็มที่ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังบอกว่า “การนอนหลับที่เพียงพอมีผลต่อการป้องกันหรือจำกัดการเติบโตของเนื้องอก” เวลานอนที่ดีที่สุดคือ 22.00 น. ระยะเวลาของการนอนที่เหมาะคือ 7-8 ชั่วโมง
โดยนาย เฉิน เจียน หมิง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัย Fu Jen Catholic University ภาควิชาจิตวิทยา ของไต้หวัน ได้ให้หัวข้อว่า “แนะนำการนอนหลับให้กับคนทำงานที่วุ่นวาย” บทความนี้วิเคราะห์วิธีการต่างๆ
1.รักษานาฬิกาชีวภาพ โดยกำหนดเวลาพักผ่อน
2. ออกกำลังกายเป็นประจำ
3.ลดความสว่างก่อนเข้านอน พอตื่นนอนก็รับแสงแดดยามเช้า
4.ก่อนนอน 6 ชั่วโมง ห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้น เช่น กาแฟ ฯลฯ
5. ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยให้นอนหลับ
6.งดการใช้ยานอนหลับ
7. รักษาสถานการณ์การนอนหลับอย่างสบายทุกคืน
ตอนนี้ผมเข้านอนตอน 22.00 น.ดึกที่สุดไม่เกิน 23.00 น. นอนจนตื่นขึ้นมาเองทุกวัน ประมาณ 5.30 น.หรือ 6.30 น. ตอนกลางวันก็นอนพักผ่อนอีก 30 นาที แค่นี้ก็สามารถทำให้คุณเติบเต็มไปด้วยพลังงานตลอดทั้งวันแล้ว จะทำให้สมองปลอดโปร่ง มีสมาธิมาก แต่หลายคนมีความต้องการในการนอนที่ไม่เหมือนกัน บางคนต้องการ 8-9 ชั่วโมง ทั้งนี้ต้องดูที่ร่างกายของแต่ละคน
การตอบคำถามข้างต้น การนอนหลับของคุณเพียงพอต่อความต้องการของตนเองหรือไม่ จะต้องมีความชัดเจน 5 เคล็ดลับการนอนหลับที่ดี:
1. ก่อนนอน ไม่ควรทำงานหนัก หรือ จัดเตรียมงานที่ต้องใช้เวลามาก
2. ตั้งเวลาหยุดการทำงาน การทำงานล่วงเวลา สู้นอนเช้าหน่อยเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในวันรุ่งขึ้น
3. จดบันทึกเวลานอนหลับและตื่นนอนของทุกวัน เพื่อพัฒนานิสัยการนอนหลับที่ดีต่อสุขภาพ
4. อย่ารู้สึกเครียดเพราะนอนไม่หลับ ผ่อนคลายตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
5. คุณภาพของการนอนหลับมีความสำคัญมากกว่าเวลา ทำให้คุณอยู่ในโหมดความสบายมากที่สุด
2: การออกกำลังกายมีความสำคัญอย่างยิ่งการออกกำลังกายแอโรบิคเป็นสูตรสำหรับการส่งเสริมการทำลายเซลล์มะเร็ง
ไม่ว่าคุณจะบำบัดด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน,แพทย์แผนจีน หรือนักบำบัดธรรมชาติล้วนบอกว่า การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การออกกำลังกายไม่เพียง แต่สามารถส่งเสริมการเผาผลาญไขมันและบรรลุผลการลดน้ำหนัก แต่ยังช่วยทำให้เซลล์มะเร็งลดน้อยลงอีกด้วย เป็นนักฆ่าตามธรรมชาติที่ดีที่สุด
หลังจากที่ป่วยเป็นมะเร็งผมพยายามที่จะเดิน หากต้องไปยังสถานที่ห่างไกล ก็จะโดยสารรถไฟใต้ดินหรือรถแท็กซี่วิธีการนี้จะทำให้ผมมีโอกาสที่จะเดินมากยิ่งขึ้น
ผมเริ่มชินกับการออกกำลังกาย จนรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ ตอนนี้ผมเดินทีก็ 45 นาที โดยไม่รู้สึกลำบาก
เมื่อร่างกายขยับตัว น้ำก็เป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้ชีวิตชุ่มชื่น ผมขอแนะนำให้สัมผัสกับความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมนี้
ประสบการณ์ของฉัน:
1. ปีนเขา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ อย่างน้อยเมื่อปีนถึงครึ่งหนึ่ง มันก็จะทำให้สมองของคุณโล่งมาก และได้ผ่อนคลาย
2.การเล่นโยคะหรือการสะบัดมือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
3.หากสามารถเดินได้ก็เดินไป
4.หรือเลือกออกกำลังกายในแบบที่ชอบ
5. นวดร่างกาย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้เส้นเมอริเดียนของร่างกาย เปิดใช้งานของเลือดและลบชะงักงันในเลือด
3: อาหารควรจะสมดุล อาหารที่อร่อยจะไม่ดีต่อสุขภาพ อาหารที่ไม่อร่อยแต่ดีต่อสุขภาพ!
ในวันนั้นมีเพื่อนคนหนึ่ง พาผมไปดูวิธีการทำอาหารที่มีประโยชน์ มีซุปผลไม้สด และ ซุปเห็นหูหนู, ถั่วดำ,ข้าวเหนียวสีดำ,งาดำและน้ำตาลทรายแดง เหมาะมากสำหรับอาหารเช้า เพราะการดื่มซุปนี้ตอนเช้า ขณะที่ท้องว่างนั้นจะทำให้ร่างกายดูดซับไปใช้ประโยนช์ได้มากที่สุด
เมนูแรกคือ ซุปบล็อกโคลี่
ส่วนผสม : ผักบล็อกโคลี่ 15 กรัม, แครอท 50 กรัม, สับปะรด 200 กรัม,แอปเปิ้ล 1 ลูก , ผลไม้จำพวกเปลือกแข็ง มีเมล็ดด้านใน 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำต้มสุก 400 มล.
การปฏิบัติ: ใส่ส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันลงในเครื่องปั่นประมาณ 45 วินาที ให้เสร็จสมบูรณ์ (ทำเสร็จจะได้ปริมาณ 900 มล. เพียงพอสำหรับ 2-3 คน)
เมนูที่สอง :ซุปพลังงานบลูเบอร์รี่+องุ่น
ส่วนผสม: กะหล่ำปลีสีม่วง 30 กรัม, บลูเบอร์รี่ 60 กรัม, แอปเปิ้ล 1ลูก , องุ่น 150 กรัม, ผลไม้จำพวกเปลือกแข็ง มีเมล็ดด้านใน 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำต้มสุก 400 มล.
การปฏิบัติ: ใส่ส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันลงในเครื่องปั่นประมาณ 45 วินาที ให้เสร็จสมบูรณ์ (ทำเสร็จจะได้ปริมาณ 800 มล. เพียงพอสำหรับ 2-3 คน)
เมนูที่สาม: นมงาดำ แคลเซียมสูง
ส่วนผสม: ถั่วเหลืองนึ่ง 100 กรัม, ข้าวกล้อง 25 กรัม, งาดำ 1 ช้อนโต๊ะ , น้ำร้อนประมาณ 300 มล.
การปฏิบัติ: ใส่ส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันในเครื่องปั่นประมาณ 90 วินาที เมื่อให้เสร็จสมบูรณ์ (ทำเสร็จจะได้ปริมาณ 450 มล.เพียงพอสำหรับ 2 คน)
(เมนูนี้ผมชอบมากที่สุด)
เมนูที่สี่: ข้าวเมล็ดถั่วดำ
ส่วนผสม: ถั่วดำนึ่งสุก 100 กรัม, เมล็ดข้าว 25 กรัม, น้ำตาล คริสตัล 10 กรัม (ไม่เติมก็ได้), น้ำร้อนประมาณ 300 มล.
การปฏิบัติ: ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่นประมาณ 90 วินาทีเพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ (เสร็จสิ้นจะได้ปริมาณ 450 มล.สำหรับ 2 ชุด)
4: ทัศนคติที่ดีและอารมณ์ขัน คือการรักษาที่มีประสิทธิภาพมาก!
หลายคนที่ทำงานกับผมคิดว่าผมเป็นคนเข้มงวดมาก เมื่อทำงานกับผมไประยะหนึ่งแล้ว จะรู้ว่าที่จริงผมเป็นคนมีอารมณ์ขันมาก
เพราะฉะนั้นเวลาที่ผมนอนป่วยอยู่บนเตียงหรือไม่ว่าอยู่ที่ไหน ผมก็จะไม่ลืมที่จะทำให้อารมณ์ดีอยู่เสมอ บางครั้งก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ เพราะบางเรื่องที่พบเจอ มันตลกมาก พยายามหาเรื่องที่ขำขันมาอ่านหรือดูบ้าง เพื่อผ่อนคลาย
สิ่งสำคัญหลายอย่างที่ทำให้ผมสามารถชนะโรคร้ายมาได้นั้น ก็คือคนรอบข้างที่ต้องเป็นกำลังใจและให้กำลังใจอยู่เสมอ
ขอบคุณที่มา : wittyhealthy

สามีเป็นผู้ให้ ภรรยาเป็นผู้เก็บ!!


แล้วชีวิตแห่งคู่สมรสจึงจะ สมบูรณ์ ที่สุดครับผม สิ่งที่ควรจะให้ มี 4 ข้อ คงจะตรงกันข้ามกับการเก็บของสาว ๆ เลย ดีไหมครับ
เป็นสามีที่ดีต้องให้ 4 อย่าง
1. ให้ เรื่องการเงินแก่ครอบครัว ตามความสามารถของตัวเอง ( ให้ภรรยาควบคุมด้านการเงินของครอบครัวทั้งหมด ) และเราขอเงินไปทำงานวันละ 20 บาทไง หุหุหุ ( แบบสามีที่ดี เขาทำกัน )
2. ให้ เรื่องเวลา แก่ครอบครัว เมื่อครอบครัวต้องการตัวสามี ( ไม่ต้องอธิบายนะ ) ก็เวลาเขาเรียกใช้เมื่อไร ก็รีบ ๆ มาให้เขาใช้เป็นพอ ไม่ว่า อบ ซัก รีดเสื้อผ้า เก็บกวาดความสะอาดบ้าน ทำอาหาร และ สำคัญ ( ช่วยเลี้ยงลูกด้วยจ้า )
3. ให้ เรื่องการยอมรับในสังคมแก่ครอบครัว แสดงว่าเวลาจะไปไหน ต้องมีภรรยาเป็นตุ๊กตาหน้ารถเสมอ ห้ามหนีไปไหน ๆ คนเดียวเด็ดขาด หุหุหุ
4. ให้ เรื่องไว้วางใจ การเปิดเผยในการสอบถามหาข่าว หาความของภรรยา ( ข้อนี้เพื่อให้เขาไม่มีความระแวง ) และยอมรับการตามล่าตามล้าง ตามผลาญ ของภรรยาได้ ทุกเมื่อเชื่อวัน หุหุหุ แบบ ไปตีกอล์ฟ มาจ้า 55555555 ก๊าก กกกกกกก
ผู้หญิงมีหน้าที่ต้องเก็บได้ 4 อย่าง 
1. ต้องเก็บเงินได้ ถ้าสามี ให้ เงินมา แล้วเก็บไม่เป็น บริหารการเงินไม่เป็น ในจังหวะชีวิต ช่วงใดช่วงหนึ่งเกิดตกงาน หรือ ไม่มีอาชีพ เราก็สามารถที่จะนำเงินที่เก็บสะสมไว้ หรือมีการจัดการบริหารการเงินที่ดีไว้ ( ถ้ามัวแต่เอาเงินไปเล่นการพนัน จนหมดตัว ทำไง )  เพื่อนำมาเป็นทุนรอนในการหางาน หรืออาชีพใหม่ หากพบจังหวะทางออกที่ดีอาจนำมาลงทุนเป็นเจ้าของกิจการตัวเองได้ 
2. ต้องเก็บคำพูดได้ ถ้าสามี หรือในครอบครัวทำอะไรหรือมีอะไร ( ทะเลาะกันหรือมีปัญหาเรื่องอะไร ) ชาวบ้านหรือคนที่รู้จัก จะรู้หมดทุกเรื่องที่เกิดขึ้น หุหุ เที่ยวโพทนา ว่าร้าย กล่าวหา และหาพรรค หาพวก ประจาน สามี หรือ ครอบครัวของสามีไป  เวลาดีกัน หรือ เหตุการณ์ปกติขึ้นมา ตัวเองไม่ทราบเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหนดี ทำลายเครดิสสามีตัวเอง ทำให้ โอกาสในการที่จะทำการอาชีพ ไม่ประสพความสำเร็จ เพราะปากคำจากภรรยานั่นเอง
3. ต้องเก็บตัวเองได้ มีสามีแล้วยังทำเป็นคนเปิด ใครชวนไปไหนไปหมด ชายใดหรือคนไหนมาพูดมาจีบ ก็ยิ้ม เสนอหน้ารับ และ ประเภทเหงาปาก เหงาใจ เที่ยวโทรคุยชาวบ้านทุกวันดึกดื่น สามีไม่เป็นอันทำมาหากิน เพราะมัวแต่ระแวงตามล้างตามผลาญ ไม่ก็ต่างคนต่างมีใหม่ให้มันรู้แล้วรู้รอด สร้างความกดดันแก่ครอบครัว และลูกเต้า น่าอับอายประชาชี ( สำคัญเวลาเจอโจทย์ แบบรถไฟชนกัน เวลาไปเจอสามี หรือเวลาควงสามีไปเจอคนอื่น หุหุหุ ) น่าละอายหน้าตัวเอง หน้าจะระบาดทุกข์
4. ต้องเก็บสามีให้ได้ มีสามีแล้ว เวลามีปัญหากัน ก็ยึดจุดเดินมาเป็นจุดยืน ( จุดยืนที่ว่ารักกันมานะ ลืมหมด ) เอาศักดิ์ศรี หน้ามืด คิดแต่เอาชนะ ไม่สนใจอนาคต คิดแต่จะไล่ไป ( แบบเก็บเสื้อผ้าสามี โยน และไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น ) สะใจ แบบนี้เขาเรียกไล่สามีครับ ไม่ใช่เก็บสามี ไม่ว่าไรเขาเป็นสามีเรา เราต้องมีหน้าที่เก็บเขาไว้อยู่กับเราให้ได้ เพราะเราเลือกเขาเป็นสามีนี่ ต่อให้ผิดยังไง ก็ต้องไปเอากลับมาเก็บไว้เป็นสามีเหมือนเดิม นะแหละ ( คิดให้เป็น และเข้าใจว่าจะ อภัย และ เก็บเขาให้เขาอยู่และเป็นสามีของเรายังไง ไม่ใช่ ไล่ ๆ ๆ ๆ ) แบบนั้นไม่ใช่เก็บสามี พอสามีไป คุณก็ถูกคนมองว่าไม่มีฝีมือ สามีคนเดียวเก็บไว้ไม่ได้ ( สู้ไม่ได้แม้แต่ นักร้อง หรือ เด็กเสริฟ รีเชพชั่น ที่ มากผัวหลายสามี หุหุหุ ) น่าอับอายขายขี้หน้า กับการแพ้แบบ สะใจ หุหุหุ ( สมน้ำหน้าดีไหม )
ขอขอบคุณที่มา : gangbeauty.com
เรียบเรียงโดย : เป็นตาฮัก

น้ำกระเจี๊ยบเขียว ดื่มทุกวัน ช่วยลดเบาหวาน คอเลสเตอรอล และโรคไต ให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์!



กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ในหลายประเทศจะเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อว่า กระเจี๊ยบเขียว (Okra) ซึ่งในสหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ ไนจีเรีย และในชาวแคริบเบียน จะเรียกกันเช่นนี้
พืชยอดเยี่ยมนี้อุดมไปด้วยสารอาหาร เพราะกระเจี๊ยบสดหนึ่งแก้วมีโปรตีน 2 กรัม มีวิตามิน C 21 มิลลิกรัม มีกรดโฟลิก 30 แคลอรี่ มีโฟเลต 80 ไมโครกรัม มีแมกนีเซียม 60 มิลลิกรัม มีไฟเบอร์ 3 กรัม มีไขมัน 0.1 กรัม
และมีคาร์โบไฮเดรต 7.6 กรัม พืชชนิดนี้สามารถนำมาใช้บริโภคได้ตลอดทั้งปีในรูปแบบต่างๆ เช่น ทอด ต้ม ตุ๋น หรือดอง
สมุนไพรกระเจี๊ยบเขียว ยังมีชื่อท้องถิ่นอีก เช่น กระต้าด (สมุทรปราการ), กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบมอญ มะเขือ มะเขือมอญ มะเขือทะวาย ทวาย (ภาคกลาง), มะเขือมอญ มะเขือพม่า มะเขือละโว้ มะเขือขื่น มะเขือมื่น (ภาคเหนือ), ถั่วเละ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นต้น
และสำหรับในประเทศไทย พื้นที่ที่มีการปลูกกระเจี๊ยบเขียวกันมากที่สุดส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในภาคกลาง เช่น นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี นครนายก ราชบุรี ระยอง พิจิตร สุพรรณบุรี สมุทรสาคร และกาญจนบุรี

ประโยชน์ต่อสุขภาพ

1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
2. ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
3. ช่วยลดระดับน้ำตาลโดยผ่านการบริโภคโดยตรง
4. บรรเทาอาการโรคหอบหืด
5. ป้องกันการเกิดโรคไต

สูตรน้ำกระเจี๊ยบ

จะช่วยให้เกิดความสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดของคุณอย่างเป็นธรรมชาติ

ส่วนผสม

1. กระเจี๊ยบเขียวสด 4 ฝัก
2. น้ำเปล่า 1 ถ้วย

สูตรน้ำกระเจี๊ยบ

1. ใช้มีดตัดด้านข้างของฝักกระเจี๊ยบออก
2. ใส่ฝักกระเจี๊ยบลงในขวดขนาดใหญ่และเทน้ำลงไปให้ท่วม
3. แช่ฝักกระเจี๊ยบทิ้งไว้ตลอดคืนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (ไม่เกิน 24 ชั่วโมง)
4. ในตอนเช้าให้บีบน้ำในฝักกระเจี๊ยบออกให้หมดและเก็บน้ำไว้
5. โยนฝักของมันทิ้งไปและดื่มน้ำทันที

วิธีใช้

คุณควรดื่มเครื่องดื่มนี้ในขณะท้องว่าง ก่อนมื้อเช้า 30 นาที มันจะให้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็วจนทำให้คุณประหลาดใจ

ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว

1. ฝักอ่อนหรือผลอ่อนใช้เป็นผักจิ้มรับประทาน โดยนำมาต้มให้สุกหรือย่างไฟก่อน หรือนำมาใช้ทำแกงต่าง ๆ เช่น แกงส้ม แกงเลียง แกงจืด ใช้ใส่ในยำต่าง ๆ ใช้ชุบแป้งทอด ทำเป็นสลัดหรือซุปก็ได้
2. เมนูกระเจี๊ยบเขียว เช่น แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว แกงเลียงกระเจี๊ยบเขียว แกงจืดกระเจี๊ยบเขียวยัดไส้ แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวผัดผงกะหรี่ ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบผัดขิงอ่อน ห่อหมกกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบต้มกะทิปลาสลิด ยำกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด สลัดกระเจี๊ยบเขียว ชากระเจี๊ยบเขียว เป็นต้น
3. สำหรับชาวอียิปต์มักใช้ผลกระเจี๊ยบรับประทานร่วมกับเนื้อสัตว์ หรือนำมาใช้ในการปรุงสตูว์เนื้อน้ำข้น สตูว์ผัก หรือนำไปดอง ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกาทางตอนใต้จะใช้ผลอ่อนนำมาต้มเป็นสตูว์กับมะเขือเทศที่เรียกว่า “กัมโบ้” หรือทางตอนใต้ของอินเดียจะนำผลกระเจี๊ยบมาผัดหรือใส่ในซอสข้น ส่วนชาวฟิลิปปินส์จะใช้กินเป็นผักสดและนำมาย่างกิน และชาวญี่ปุ่นจะนำมาชุบแป้งทอดกินกับซีอิ้ว
4. ดอกอ่อนและตาดอกสามารถนำมารับประทานได้เช่นกัน
5. รากกระเจี๊ยบสามารถนำมารับประทานได้ แต่จะค่อนข้างเหนียวและไม่เป็นที่นิยม
6. แป้งจากเมล็ดแก่เมื่อนำมาบดสามารถนำมาใช้ทำเป็นขนมปังหรือทำเป็นเต้าหู้ได้
7. ใบตากแห้งนำมาป่นเป็นผงใช้โรยอาหารและช่วยชูรสชาติอาหารได้
8. ฝักที่นำมาตากแห้งแล้ว สามารถนำมาใช้ทำเป็นชาไว้ชงดื่มได้
9. เมล็ดกระเจี๊ยบนำมาคั่วแล้วบดสามารถนำมาใช้แทนเมล็ดกาแฟได้ หรือนำใช้ในการแต่งกลิ่นกาแฟ
10. ใบกระเจี๊ยบนำมาใช้เป็นอาหารวัวหรือใช้เลี้ยงวัวได้
11. กากเมล็ดมีโปรตีนมาก เหมาะสำหรับใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์
12. ในประเทศอินเดียมีการใช้เมล็ดกระเจี๊ยบเพื่อไล่ผีเสื้อเจาะผ้า
13. ในประเทศอินเดีย โรงงานผลิตน้ำตาลบางแห่งมีการใช้เมือกจากต้นนำมาใช้ในกระบวนการทำให้น้ำอ้อยสะอาด
14. เปลือกต้นกระเจี๊ยบ แม้จะไม่เหนียวนักแต่ก็สามารถนำมาใช้ทอกระสอบ ทำเชือก เชือกตกปลา ตาข่ายดักสัตว์ ใช้ถักทอเป็นผ้าได้ หรือทำเป็นกระดาษ ลังกระดาษก็ได้
15. เมือกจากผลกระเจี๊ยบสามารถนำมาใช้เคลือบกระดาษให้มันได้
16. กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ตลอดปี จึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับเกษตรกรไทย เนื่องจากต่างประเทศมีการสั่งซื้อกระเจี๊ยบของไทยปีละหลายล้านบาท โดยมีบริษัทที่ทำโครงการปลูกกระเจี๊ยบเขียวอย่างครบวงจรมาร่วมมือกับเกษตรกรไทยในหลายพื้นที่ช่วยกันปลูกเพื่อส่งออก
17. สำหรับในต่างประเทศมีการนำกระเจี๊ยบเขียวไปผลิตแปรรูปได้อย่างหลากหลาย เช่น ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ทำเป็นอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง หรืออาหารสำเร็จรูป เช่น กระเจี๊ยบเขียวอบแห้ง หรือนำไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมหวาน รวมไปถึงอุตสาหกรรมเครื่องหอม อุตสาหกรรมยา เช่น ทำเป็นยาผงและแคปซูล
สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน